ลาวัวซิเยร์ : กฎทรงมวล
เมื่อเคมีสมัยใหม่เริ่มต้นในศริสตศตวรรษที่ 18 นักวิทยาศาสตร์เริ่มที่จะสังเกตปริมาณของสาร
จากการทดลองของลาวัวซิเยร์ เพื่อแยกแก๊สออกซิเจนออกมา ในการทดลองของ ลาวัวซิเยร์
มีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องดังรูป ด้านล่าง โดยที่นำเมอร์คิวรี่(II)ออกไซด์ใส่ลงไปในขวดคอยาวโดยที่คอขวดต่ออยู่กับครอบแก้วรูประฆังมีปริมาตร 40 ลูกบาศก์นิ้วสำหรับเก็บแก๊สที่เผาได้
โดยใช้เตาเผาที่มีถ่าน (charcoal) เป็นเชื้อเพลิง เขาได้ชั่งน้ำหนักของสารเริ่มต้น
ก่อนเผาไว้ จากนั้นทำการเผา เมอร์คิวรี่(II)ออกไซด์
เป็นเวลา 12 วัน
จะสังเกตได้ว่าระดับน้ำในขวดรูประฆังลดลงแสดงว่าต้องมีแก๊สเกิดขึ้น
ทดสอบโดยการจุดเทียนไขได้เปลวไฟที่สว่าง มากกว่าปกติ
ส่วนในขวดคอยาวพบว่ามีปรอทเหลว(mercury)
จากการชั่งน้ำหนักของสารตั้งต้นในขวดคอยาว และผลิตภัณฑ์
เขาพบว่ามวลโดยรวมของผลิตภัณฑ์ มีมวลเท่ากับเมอร์คิวรี่(II)ออกไซด์ที่เริ่มต้น
เขาจึงสรุปออกมาเป็นกฎทรงมวล ว่า
"มวลของสารก่อนทำปฏิกิริยาจะเท่ากับมวลของสารหลังทำปฏิกิริยา"
ดังนั้น
การเผาเมอร์คิวรี่(II)ออกไซด์ (เมอร์คิวริก ออกไซด์)จะให้ผลิตภัณฑ์ออกมา 2 ชนิด ได้แก่
เมอร์คิวรี่ (ปรอทเหลว) และแก๊สออกซิเจน ดังสมการ
2HgO → 2Hg + O2
ตัวอย่างที่1 ในการเกิดโมเลกุลของน้ำจะต้องใช้ ไฮโดรเจน 2 โมล รวมกับ
ออกซิเจน 1 โมล จึงได้โมเลกุลของน้ำ 2 โมล
ซึ่งจะเป็นอัตราส่วนอย่างนี้ตลอดไป แสดงได้ดังรูปภาพด้านล่าง
2H2 + O2 → 2H2O
โมล
ก่อนที่จะเรียนรู้ว่าโมล คืออะไร เรามาทำความรู้จักกับอะตอม
มวลโมเลกุล สูตรโมเลกุล และน้ำหนักโมเลกุลกันเสียก่อนอะตอม
เป็นส่วนที่เล็กที่สุดของธาตุ ที่สามารถแสดงคุณสมบัติของธาตุนั้นๆ ได้
เช่น H , S , Al , Fe เป็นต้น ส่วนธาตุที่มีเลขอะตอมเหมือนกัน
แต่มีเลขมวลต่างกันก็จัดเป็นธาตุเดียวกัน มีสมบัติทางเคมีเหมือนกัน
แต่มีสมบัติทางกายภาพบางประการต่างกัน เรียกว่า เป็นไอโซโทปกัน
โมเลกุล
เกิดจากการรวมกันของอะตอม สามารถแบ่งออกได้เป็น
1. โมเลกุลอะตอมเดี่ยว ได้แก่ พวกแก๊สเฉื่อย He, Ne, Ar , Kr
, Xe, Rn 2. โมเลกุลอะตอมคู่
เช่น H2 , O2 ,N2 ,HCl , CO , HF 3.โมเลกุลหลายอะตอม P4,
S8, H2O, CH4, C6H12O6
อะตอม
มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-10 เมตร (1A ํ)
อะตอมที่เบาที่สุดหนัก 1.66 x 10-24 กรัม
อะตอมที่หนักที่สุดหนัก 250 x 1.66 x 10-24 กรัม
รูปแสดงเกิดพันธะของอะตอมกลายเป็นโมเลกุล
มวลอะตอม
เป็นมวลเปรียบเทียบ โดยเทียบจากมวลของ C-12 1 อะตอม มีหน่วยเป็น amu
(atomic mass unit) ในธรรมชาติธาตุแต่ละชนิดอาจมีหลายไอโซโทป
และพบในจำนวนที่ต่างกัน มวลอะตอมที่ระบุในตารางธาตุ
จึงเป็นมวลอะตอมเฉลี่ยของไอโซโทปทั้งหมด ซึ่งเรียกว่า มวลอะตอมเฉลี่ย
เปอร์เซนต์ของธาตุ =
อัตราส่วนที่พบในธรรมชาติ x 100%
ดังนั้น มวลอะตอมที่เขียนไว้ในตารางธาตุ ก็คือ มวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุ
นั่นเอง
มวลโมเลกุล เป็นผลบวกของมวลอะตอมของแต่ละธาตุในโมเลกุลนั้น ตัวอย่าง การคำนวณมวลโมเลกุลของ NH3
มวลอะตอมของ N = 14 และมวลอะตอมของ H = 1
ดังนั้นมวลโมเลกุลของ NH3 = 14 + (1x3) = 17
โมล
เราสามารถนับจำนวนอะตอมหรือโมเลกุลที่อยู่ในสารชนิดหนึ่งได้หรือไม่? เรานับได้แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดังนั้น ถ้ากำหนดหน่วยขึ้นมาเพื่อที่จะสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจน เช่น
ใช้หน่วยโหลเพื่อใช้นับของจำนวน 12 ชิ้น หรือของจำนวน 12 โหล เป็นจำนวน 1 กุรุส
ดังนั้น โมลก็ถือว่าเป็นตัวคูณจำนวนที่ต้องการแสดงว่ามีมากจนสามารถเห็นภาพของจำนวนได้ว่ามากหรือน้อยเท่าใด
รูปข้างล่างแสดงถึงจำนวนเชอร์รี่ 1 ลูก แต่ถ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น เป็น 12 ลูก
เราก็จะเปลี่ยนว่ามี เชอร์รี่ 1โหล เอาเป็นว่า เรารู้กันว่า 1 โหลมันมี 12 ลูก
แต่ถัาเรากำหนดเองว่า ทีนี้จะใส่เชอร์รี่ลงไป 40 ลูก กำหนดว่ามันคือ 1 ถาด
ถ้าสมมติว่าเราอยากจะสั่งเชอร์รี่ 1 โมลต้องมีกี่ลูกนะ? (แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครใช้โมลในการนับจำนวนของ
เราเอาไว้ใช้กับอะตอมน่าจะเหมาะสมกว่า) แล้วถ้าลองนำเชอร์รี่มาชั่งนำหนัก 1ลูก
จะเท่ากับ กล้วย 1 ลูกหรือไม่ คำตอบคือไม่เท่ากันอยู่แล้ว
ดังนั้นอะตอมเป็นหน่วยที่เล็กเราจึงกำหนดหน่วยเป็นโมล ซึ่ง 1 โมล มีจำนวนเท่ากับ 6.02x1023 อนุภาค (อะตอม ,โมเลกุล หรือไอออน) เราเรียกค่านี้ว่า ค่าคงที่ของอาโวกาโดร (NA)
ดังนั้น โมล คือ จำนวนของสารซึ่งมีจำนวนอนุภาคเท่ากับจำนวนอะตอม ของ C-12 จำนวน 12 กรัม โดยเขียนความสัมพันธ์ได้ว่า
1 โมลของ
C
|
=
6.02 x 1023 อะตอม
|
= 12
g
|
1 โมลของ
CO2
|
=
6.02 x 1023 โมเลกุล
|
= 44
g
|
1 โมลของ
NaCl
|
=
6.02 x 1023 โมเลกุล
|
=
58.5 g
|
ดังนั้น สารใดๆ 1 โมล มีมวลเท่ากับมวลอะตอม หรือมวลโมเลกุล
หน่วยเป็นกรัม
เราจะได้ความสัมพันธ์ของโมล
คือ โมล = มวลเป็นกรัม (g)
มวลโมเลกุล (g/mol)
ตัวอย่าง จงคำนวณจำนวนกรัมของ 0.155 โมลของ CH4แนวคิดมวลโมเลกุลของ CH4 = 12 + (4x1) = 16
ดังนั้นจำนวนกรัมของ CH4 = 16g x 0.155 mol = 2.48 g
1 mol
การหาเปอร์เซนต์มวลองค์ประกอบจากสูตรเคมี
เราสามารถหามวลขององค์ประกอบในสูตรโมเลกุลได้
โดยคำนวณเป็นเปอร์เซนต์ของอัตราส่วนระหว่างธาตุกับมวลโมเลกุลของสารประกอบนั้นๆ
เปอร์เซนต์โดยมวล =
อัตราส่วนมวลของธาตุ x 100%
ตัวอย่างที่ 8 จงคำนวณหาเปอร์เซนต์โดยมวลของ C ใน butane (C4H10)
1. C4H10 (สูตรโมเลกุลประกอบด้วย C 4 อะตอมและ H 10 อะตอม)
2. มวลของ C ในโมเลกุลของบิวเทน คือ (4 x 12.001) g = 48.004
g
3. มวลของ Hในโมเลกุลของบิวเทน คือ (10 x 1.0079) g = 10.079 g
4. มวลโมเลกุลของบิวเทน คือ 48.004 + 10.079 g
= 58.123 g
5. เปอร์เซนต์โดยมวลของ C ในบิวเทน คือ
48.004 x 100% = 82.66%
58.123
สมการเคมี
สมการเคมีเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารตั้งต้น
(อาจเป็นปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุล อะตอม หรือไอออนก็ได้) เพื่อเกิดเป็นผลิตภัณฑ์
โดยเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ และสูตรโมเลกุลที่เป็นตัวแทนของธาตุที่อยู่ในสารประกอบ
ตัวอย่างสมการเคมี
C(s) + O2 (g) → CO2(g)
สมการเคมีโดยทั่วไปแล้วจะใช้สัญลักษณ์แทนของธาตุต่าง ๆ
มีลูกศรที่ชี้จากด้านซ้ายของสมการไปทางด้านขวาเพื่อบ่งบอกว่าสารตั้งต้น(reactant)ทางด้านซ้ายมือ ทำปฏิกิริยาเกิดสารใหม่ขึ้นมาเรียกว่าผลิตภัณฑ์ (product)ทางด้านขวามือ ดังนั้น
จากสมการเคมีเราสามารถใช้คำนวณหาได้ว่าใช้สารตั้งต้นเท่าไรแล้วจะได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเท่าไร
จากกฎทรงมวลเราจึงต้องทำให้แต่ละข้างของสมการต้องมีจำนวนอะตอม
และประจุที่เท่ากัน เรียกว่า การดุลสมการ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้
1. พยายามดุลธาตุที่เหมือนกันให้มีจำนวนอะตอมทั้งสองด้านเท่ากันก่อน
2. ในบางปฏิกิริยามีกลุ่มอะตอมให้ดุลเป็นกลุ่ม
3. ใช้สัมประสิทธิ์(ตัวเลขที่ใช้วางไว้หน้าอะตอม)ช่วยในการดุลสมการ
แล้วนับจำนวนอะตอมแต่ละข้างให้เท่ากัน
ตัวอย่าง จงดุลสมการต่อไปนี้
Fe(s) + O2 (g) → Fe2O3(g)
แนวคิด จากสมการ ให้ดุล Fe ก่อน ซึ่งด้านซ้ายมี 1 อะตอม ด้านขวามี 2 อะตอม
ดังนั้นต้องใส่สัมประสิทธิ์ด้านซ้ายเป็น 2
2Fe(s) + O2 (g) → Fe2O3(g)
ดุล O2 ด้วย สัมประสิทธิ์ 3/2
2Fe(s) + 3/2O2 (g) → Fe2O3(g)
ทำให้เป็นเลขจำนวนเต็มโดยการ x 2 ทั้งสมการ
2[2Fe(s) + 3/2O2 (g) → Fe2O3(g)]
จะได้สมการสุดท้ายคือ
4Fe(s) + 3O2 (g) → 2Fe2O3(g)
สารกำหนดปริมาณ
บางครั้งนักเคมีต้องการที่จะสังเคราะห์สารประกอบเพื่อหาปริมาณของผลิตภัณฑ์ซึ่งเกิดมาจากการทำปฏิกิริยาของสารตั้งต้นหลายตัว
เพื่อหาว่าจะเกิดผลิตภัณฑ์จำนวนเท่าไร
นักเคมีต้องอธิบายก่อนว่าสารตั้งต้นตัวไหนที่จะใช้หมดก่อนเมื่อปฏิกิริยาสมบูรณ์
ส่วนสารตัวอื่นก็จะยังคงอยู่ สารที่ใช้หมดก่อนนี้เรียกว่า สารกำหนดปริมาณ ดังดูได้จากตัวอย่างเปรียบเทียบต่อไปนี้
ตัวอย่าง การผลิตรถยนต์
ซึ่งมีส่วนประกอบของ 1 ตัวถัง จะมี 4 ล้อ ดังสมการ
1 ตัวถัง +
4 ล้อ → 1 คัน
ถ้าโรงงานหนึ่งมีตัวถัง 50 ตัวถัง และ 160 ล้อ จะผลิตรถยนต์ได้กี่คัน
ถ้าคิดจำนวนตัวถังเป็นฐานในการตอบ จะต้องคิดว่าผลิตได้ 50 คัน
อย่างไรก็ตามถ้า
พิจารณาที่ล้อเป็นฐานในการตอบ จะพบว่าจะสามารถผลิตได้ 40 คัน
เพราะว่า รถ 1 คัน มี 4 ล้อ จะเท่ากับ 160 /4 = 40 ดังนั้น
บริษัทจะมีตัวถังที่เกิน 10 อัน ซึ่งไม่
สามารถมีล้อมาเติมให้ครบได้
ดังนั้นจะสามารถผลิตได้มากที่สุด 40 คัน เพราะฉะนั้นสารกำหนดปริมาณ คือ ล้อรถ
และสารตั้งต้นที่ยังคงเหลือ คือ ตัวถัง คำนวณทีละ
ขั้นตอนได้ดังนี้
ขั้นที่ 1 เขียนสมการ
1 ตัวถัง +
4 ล้อ →1 คัน50 ตัวถัง
160 ล้อ กี่คัน
ขั้นที่ 2 จะต้องรู้ความสัมพันธ์ของตัวถังกับล้อ
A . ต้องหาว่าจะใช้ตัวถังเท่าไรเมื่อมีล้ออยู่ 160 ล้อ
กี่ตัวถังที่ต้องใช้ = (160 ล้อ) (1 ตัวถัง/4 ล้อ) = 40 ตัวถัง
B
. ต้องหาว่าจะใช้ล้อเท่าไรจะได้ 50 ตัวถัง กี่ล้อที่ต้องใช้ = (50 ตัวถัง)
(4 ล้อ / 1 ตัวถัง) = 200 ล้อ แต่โรงงานมีล้อไม่ถึง 200 ล้อ แต่มีแค่ 160 ล้อ
ขั้นที่ 3 เราจะใช้จำนวนของล้อมาคำนวณหาจำนวนรถยนต์ที่จะสามารถผลิตได้
จำนวนคัน =
( 160 ล้อ) ( 1 คัน/4 ล้อ) =
40 คัน ในแนวความคิดเดียวกัน นักเรียนต้องการที่จะเตรียมแจกันพร้อมดอกไม้
โดยแต่ละแจกันมีดอกไม้ 3 ดอก แต่ว่าตอนนี้มีดอกไม้อยู่ 17 ดอก มีแจกัน 5 ใบ
ดังนั้น นักเรียนคิดว่าแจกันหรือดอกไม้ควรที่จะเป็นตัวกำหนดปริมาณ
ตัวอย่าง แมกนีเซียมไนไตด์เตรียมได้จากปฏิกิริยาของโลหะแมกนีเซียมกับแก๊สไนโตรเจน
ถ้าใช้โลหะแมกนีเซียม 35.00 g และแก๊สไนโตรเจน15.00 g จะสามารถผลิตแมกนีเซียมไนไตด์ได้กี่กรัม
3Mg(s) + N2(g) → Mg3N2(s)
แนวคิด จากสมการจะใช้ 3 โมลของ Mg ทำปฏิกิริยากับ 1 โมลของ
N2 และได้ 1 โมลของ
Mg3N2 ดังนั้น ต้องพิจารณาว่าสารใดเป็นสารกำหนดปริมาณ และสารใดเหลือ
Mg 35.00g = 35.00g = 1.44 mol
24.305 g/mol
N2
15.00g = 15.00 g = 0.53 mol
28.013 g/mol
ผลผลิตร้อยละ
การคำนวณผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเกิดปฏิกิริยาเคมีนั้นมักจะนิยมคำนวณออกมาในรูปผลผลิตร้อยละ
(percent yield) โดยคำนวณจาก สมการ
ผลผลิต = ผลผลิตจริง x 100
ผลผลิตตามทฤษฏี
ผลผลิต คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทดลองหรือการเกิดปฏิกิริยา
ผลผลิตตามทฤษฏี คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการคำนวณตามสมการเคมี
เกิดจากปฏิกิริยาที่สมบูรณ์ ผลผลิตร้อยละจะไม่ได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์
เนื่องจากการทำการทดลอง จะเกิดปฏิกิริยาข้างเคียง อาจทำให้เกดสารชนิดอื่นๆได้
นอกจากนี้สารตั้งต้นอาจมีสารชนิดอื่นปนอยู่ด้วย
ตัวอย่าง เอทิลอะซีเตตเป็นตัวทำละลายที่ใช้ในการล้างเล็บ
ต้องใช้กรดอะซีติกจำนวนเท่าไรในการเตรียมเอทิลอะซีเตต 252 กรัม
จะได้ผลผลิตร้อยละที่ต้องการคือ 85% และสารตั้งต้นตัวอื่น ได้แก่ เอทานอล และ
กรดซัลฟูริก ไม่ได้เป็นสารกำหนดปริมาณ สมการที่เกิดขึ้น คือ
CH3COOH + C2H5OH → CH3COOCH2CH3 + H2O
ใช้ H2SO4 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
แนวคิด จากโจทย์ เรารู้ผลผลิตจริงกับผลผลิตร้อยละของเอทิลอะซีเตด จากสมการ
ผลผลิตตามทฤษฏี = ผลผลิตจริง x 100%
ผลผลิตร้อยละ
= 252 g ethyl acetate x
100%
85.0%
= 296 g ethyl acetate
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น